Tax เตรียมสอบ GED by Englican
Tax เตรียมสอบ GED by Englican

ภาษี = ศักดินา? : เมื่อประวัติศาสตร์พันปีสะท้อนระบบเศรษฐกิจยุคใหม่

Tax เตรียมสอบ GED by Englican
Tax เตรียมสอบ GED by Englican
Tax เตรียมสอบ GED by Englican
Tax เตรียมสอบ GED by Englican

The Peaceful Roman Empire: เมื่อความมั่งคั่งกลายเป็นต้นตอของความอ่อนแอ

   ในอดีต จักรวรรดิโรมันถือเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่ทรงพลังและมั่นคงที่สุดของโลกตะวันตก ด้วยความเจริญทางสถาปัตยกรรม กฎหมาย การทหาร และระบบเศรษฐกิจที่เป็นแบบแผน โรมันสามารถขยายอำนาจครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ ตั้งแต่ยุโรปตะวันตก เมดิเตอร์เรเนียน จนถึงแอฟริกาเหนือ โดยมีกรุงโรมเป็นศูนย์กลาง

   แต่เบื้องหลังภาพของความสงบสุขและความรุ่งเรืองนั้น กลับมีรอยร้าวที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์ไม่สามารถควบคุมดินแดนที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วได้อย่างมีประสิทธิภาพ เจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่นเริ่มมีอำนาจมากขึ้น และเกิดความแตกต่างระหว่างศูนย์กลางกับพื้นที่ชายขอบ ปัญหาเหล่านี้ทำให้การจัดเก็บทรัพยากร เช่น ภาษี และแรงงาน เริ่มไม่ทั่วถึง

   ในขณะเดียวกัน การพึ่งพากองทัพขนาดใหญ่และงบประมาณจากรัฐ ทำให้จักรวรรดิอยู่ในภาวะ “ขาดดุลทางโครงสร้าง” กล่าวคือ มีภาระมากกว่ารายได้ นำไปสู่การลดประสิทธิภาพของการปกครอง ประชาชนในพื้นที่ห่างไกลเริ่มรู้สึกว่ารัฐไม่สามารถคุ้มครองหรือตอบสนองต่อความต้องการของตนเองได้อีกต่อไป

   จักรวรรดิโรมันจึงเริ่มเข้าสู่ช่วงแห่งความเสื่อมถอย (Decline) ซึ่งไม่ได้เกิดจากสงครามหรือภัยพิบัติทันทีทันใด แต่เป็นการค่อยๆ ล่มสลายจากภายในผ่าน “การแตกตัวของระบบ” ที่ไม่สามารถรักษาความสมดุลระหว่างอำนาจ การปกครอง และทรัพยากรได้อีกต่อไป

   กรณีของโรมันจึงกลายเป็น “บทเรียนทางประวัติศาสตร์” ที่แสดงให้เห็นว่า แม้ระบบจะเริ่มต้นด้วยความมั่นคงเพียงใด หากไร้กลไกการกระจายทรัพยากรอย่างเป็นธรรม ระบบนั้นย่อมเสื่อมสลาย ในที่สุด

Tax เตรียมสอบ GED by Englican
Tax เตรียมสอบ GED by Englican

เมื่อบาร์บาเรียนชนะ: จุดจบของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในปี 476 AD

   แม้จักรวรรดิโรมันจะยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ก็ไม่สามารถหลีกหนีวัฏจักรของการเสื่อมถอยได้ตลอดกาล และในที่สุด ความเสื่อมถอยจากภายในก็เปิดโอกาสให้ภัยคุกคามจากภายนอกเข้ามาสั่นคลอนอย่างถึงราก เมื่อชนเผ่า “บาร์บาเรียน” (Barbarian Tribes) หรือกลุ่มชนจากดินแดนตอนเหนือของยุโรปที่โรมันเคยมองว่าไร้อารยธรรม เริ่มขยายอำนาจและรุกรานอาณาจักร

   หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญคือการล่มสลายของกรุงโรมในปี 476 AD เมื่อผู้นำบาร์บาเรียนชื่อว่า โอโดแอเซอร์ (Odoacer) ทำการโค่นล้มจักรพรรดิองค์สุดท้ายของโรมันตะวันตก คือ โรมูลัส ออกุสตุลัส (Romulus Augustulus) เหตุการณ์นี้ถือเป็น “จุดสิ้นสุดอย่างเป็นทางการ” ของจักรวรรดิโรมันฝั่งตะวันตก และเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นสุดยุคโบราณ (Ancient Era) และก้าวเข้าสู่ ยุคมืดของยุโรป (Dark Ages)

   ชัยชนะของบาร์บาเรียนไม่ได้เกิดจากอาวุธที่เหนือกว่าเท่านั้น แต่เกิดจากการที่โรมันอ่อนแอลงจากภายใน การบริหารจัดการที่ล้มเหลว การเก็บภาษีที่ไม่เป็นธรรม ความเหลื่อมล้ำที่ขยายตัว และการพึ่งพาทรัพยากรส่วนกลางมากเกินไป ส่งผลให้ประชาชนขาดความศรัทธาในรัฐ และขาดแรงจูงใจที่จะปกป้องจักรวรรดิ

   การล่มสลายครั้งนี้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่นำไปสู่ระบบใหม่อย่าง Feudalism ที่กระจายอำนาจไปสู่ท้องถิ่น และทำให้ยุโรปต้องใช้เวลากว่าพันปีในการกลับมารวมศูนย์อีกครั้ง ผ่านกลไกของศาสนา สงคราม และเศรษฐกิจ

   บทเรียนจากการล่มสลายของโรมันจึงไม่ใช่เพียงเรื่องประวัติศาสตร์ แต่คือการเตือนว่า เมื่อรัฐไม่สามารถรักษาความยุติธรรมและความมั่นคงได้ ความเปลี่ยนแปลงย่อมตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

Tax เตรียมสอบ GED by Englican
Tax เตรียมสอบ GED by Englican

Charlemagne และกำเนิดระบบศักดินา: เมื่อยุโรปแตกเป็นเสี่ยง…แล้วถูกปะติดใหม่ด้วย “อำนาจ”

   หลังจากจักรวรรดิโรมันตะวันตกล่มสลายลงในปี ค.ศ. 476 ยุโรปตกอยู่ในภาวะไร้ศูนย์กลางอำนาจอย่างสิ้นเชิง พื้นที่ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของโรมันกลับกลายเป็นอาณาเขตที่เต็มไปด้วยความวุ่นวาย ชุมชนเล็กๆ ปกครองกันเอง การค้าเสื่อมถอย และกฎหมายกลางหายไป โลกตะวันตกในเวลานั้นจึงเข้าสู่ยุคที่เรียกว่า ยุคมืด (Dark Ages) ซึ่งความไม่มั่นคงทางการเมืองและเศรษฐกิจแพร่กระจายไปทั่วภูมิภาค

   ท่ามกลางความแตกแยกนั้น เกิดผู้นำคนสำคัญผู้หนึ่งขึ้นมารวบรวมอำนาจ คือ พระเจ้าชาร์เลอมาญ (Charlemagne) กษัตริย์แห่งจักรวรรดิแฟรงก์ (Frankish Empire) ที่สามารถสถาปนาอาณาจักรขนาดใหญ่ในยุโรปตะวันตกและกลางขึ้นมาได้ โดยใช้กลยุทธ์การปกครองผ่านระบบใหม่ที่เรียกว่า Feudalism หรือ “ระบบศักดินา”

   Feudalism ไม่ใช่เพียงโครงสร้างทางสังคม แต่เป็นกลไกที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมอาณาเขตขนาดใหญ่ในยุคที่ยังไม่มีเทคโนโลยีการสื่อสารแบบรวมศูนย์ กษัตริย์ไม่สามารถควบคุมทุกพื้นที่ได้โดยตรง จึงมอบที่ดินและอำนาจแก่เหล่าขุนนางในท้องถิ่น (Lords) ซึ่งทำหน้าที่ปกครอง เก็บภาษี และจัดหาแรงงานให้กับกษัตริย์ แลกกับการคุ้มครองและการยอมรับในอำนาจ

   ระบบนี้ช่วย “เชื่อมรอยแตกของจักรวรรดิโรมัน” ให้ยุโรปกลับมามีโครงสร้างทางอำนาจอีกครั้ง แม้จะยังไม่รวมศูนย์เหมือนยุคโรมัน แต่ Feudalism ได้กลายเป็นพื้นฐานของสังคมยุโรปนานนับศตวรรษ

   Feudalism จึงไม่ใช่แค่ระบบการปกครอง แต่คือคำตอบของยุโรปต่อภาวะไร้เสถียรภาพ และยังเป็นรากฐานของรูปแบบภาษีและการกระจายทรัพยากรที่โลกบางส่วนยังคงใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน

Tax เตรียมสอบ GED by Englican
Tax เตรียมสอบ GED by Englican

โครงสร้างสามเหลี่ยมหัวกลับ: เมื่อภาษีในระบบศักดินาไหลจากล่างขึ้นบน

   ระบบ Feudalism หรือศักดินาในยุโรปยุคกลาง มีจุดเด่นที่เห็นได้ชัดคือ “โครงสร้างสามเหลี่ยมหัวกลับ” (Inverted Hierarchy) ซึ่งแสดงถึงการกระจายอำนาจและทรัพยากรแบบย้อนศร กล่าวคือ แทนที่อำนาจและทรัพย์จะไหลลงมาสู่ประชาชน กลับไหลย้อนขึ้นไปยังชนชั้นสูงผ่านกลไกการเก็บภาษี

ในระบบนี้แบ่งออกเป็น 3 ระดับใหญ่:

  1. King (กษัตริย์) – มีอำนาจสูงสุด แต่ไม่ได้ปกครองโดยตรง กลับมอบที่ดินและอำนาจการปกครองให้กับกลุ่มขุนนางหรือ Lord โดย King ได้รับผลประโยชน์จากทรัพย์ที่ขุนนางส่งขึ้นมา ทั้งเงิน ภาษี และทรัพยากร

  2. Lord (ขุนนาง) – ทำหน้าที่ควบคุมดูแลที่ดิน เก็บภาษี และจัดหาทรัพยากรจากชาวนา โดยได้รับอำนาจจากกษัตริย์เป็นการแลกเปลี่ยน สิ่งที่ Lord ได้คือความมั่นคงทางอำนาจและสิทธิในการปกครองท้องถิ่น

  3. Peasants (ชาวนา) – อยู่ชั้นล่างสุดของโครงสร้าง ทำงานหนักบนที่ดินที่ตนไม่ได้เป็นเจ้าของ ส่งผลผลิตหรือแรงงานให้กับ Lord เพื่อแลกกับ “ความคุ้มครอง” ซึ่งมักไม่ได้รับอย่างแท้จริง

     

การจัดเก็บภาษีในลักษณะนี้จึงไม่ใช่เพื่อประโยชน์ส่วนรวม แต่เพื่อเสริมสร้างอำนาจของชนชั้นบน ความเหลื่อมล้ำจึงเป็นผลลัพธ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

คำถามคือ…ระบบนี้แตกต่างจากปัจจุบันจริงหรือ?
แม้วันนี้เราจะจ่ายภาษีให้รัฐ ไม่ใช่ขุนนาง แต่หากภาษีถูกรวมศูนย์โดยไร้ความโปร่งใส และกลับคืนสู่ประชาชนเพียงเล็กน้อย เราอาจยังติดอยู่ใน Feudalism รูปแบบใหม่ โดยไม่รู้ตัว

Tax เตรียมสอบ GED by Englican
Tax เตรียมสอบ GED by Englican

จากศักดินาสู่ระบบสมัยใหม่: เมื่อภาษีเพิ่มขึ้น 33% ใน 10 ปี

   แม้ระบบศักดินาจะเป็นเรื่องของยุโรปเมื่อพันปีก่อน แต่หากย้อนกลับมาดู “การเก็บภาษี” ในยุคปัจจุบันของประเทศไทย เราจะพบคำถามสำคัญว่า “โครงสร้างรายได้ของรัฐในวันนี้ ยังเหลือร่องรอยของความย้อนศรแบบศักดินาหรือไม่?”

   จากข้อมูลรายได้ภาษีของรัฐย้อนหลัง 10 ปี (2557–2567) เราพบว่ารัฐมีรายได้ภาษีรวมเพิ่มขึ้นจาก 2.5 ล้านล้านบาท ในปี 2557 เป็น 3.33 ล้านล้านบาท ในปี 2567 หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นถึง 33% ในเวลาเพียงหนึ่งทศวรรษ

ภาษีที่สร้างรายได้ให้รัฐมากที่สุด 4 อันดับแรก ได้แก่:

  • ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) – 947,320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33%

  • ภาษีเงินได้นิติบุคคล (CIT) – 783,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37%

  • ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (PIT) – 415,402 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48%

  • ภาษีน้ำมัน – 209,908 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 231%

   โดยเฉพาะภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ที่เก็บจากผู้บริโภคทุกคนไม่ว่าจะมีรายได้น้อยหรือมาก นับเป็นภาษีทางอ้อมที่สะท้อนให้เห็นถึง “การแบกรับภาษีของประชาชน” โดยเฉพาะกลุ่มรายได้น้อยที่ใช้จ่ายรายวันมากกว่าลงทุน

   เมื่อเทียบกับระบบศักดินาในอดีต ซึ่งชาวนา (Peasants) ต้องส่งส่วยให้ขุนนาง เราอาจมองได้ว่าภาษีในยุคใหม่มีการเก็บจากประชาชนจำนวนมาก แล้วถูกนำไปใช้โดยรัฐที่เปรียบเสมือน “ขุนนางรวมศูนย์” ที่ถืออำนาจในการจัดสรรทรัพยากร

คำถามจึงไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจ่ายภาษีเท่าไหร่ แต่อยู่ที่ว่าภาษีนั้นกลับคืนสู่ประชาชนอย่างเป็นธรรมแค่ไหน

Tax เตรียมสอบ GED by Englican
Tax เตรียมสอบ GED by Englican

แล้วภาษีที่เราจ่าย…ไปอยู่ตรงไหนของระบบเศรษฐกิจ?

   เมื่อพูดถึงภาษี หลายคนอาจรู้สึกว่าเป็นภาระที่ต้องจ่ายโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่แท้จริงแล้ว “ภาษี” คือหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญของระบบเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะในสมการ GDP = C + I + G + (X – M) ซึ่งเป็นสูตรคำนวณมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ

   ในสมการนี้ ตัวแปร G (Government Spending) หรือ “รายจ่ายภาครัฐ” มีที่มาจาก ภาษีที่เราทุกคนจ่ายให้กับรัฐ ไม่ว่าจะเป็นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT), ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (PIT), หรือภาษีนิติบุคคล (CIT) ภาษีเหล่านี้ล้วนถูกรวบรวมและแปลงเป็นงบประมาณของรัฐ เพื่อใช้ในการสร้างถนน สร้างโรงเรียน โรงพยาบาล รวมถึงโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ

   การใช้จ่ายภาครัฐนี้ไม่ได้มีเพียงแค่ “บริการสาธารณะ” เท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เกิดภาวะถดถอย เช่น การอัดฉีดเงินเข้าสู่โครงการต่างๆ การจ้างงานภาครัฐ หรือการสนับสนุนภาคธุรกิจขนาดเล็ก การหมุนเวียนของเงินจากภาษีจึงกลับเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และสร้างผลคูณ (Multiplier Effect) ให้เกิดการเติบโตในภาพรวม

   ดังนั้น แม้ระบบการเก็บภาษีจะมีรากฐานจากประวัติศาสตร์อันยาวนานนับพันปี นับตั้งแต่สมัยศักดินา แต่ปัจจุบันเราได้พัฒนามาไกล โดยเน้นการกระจายทรัพยากรเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

คำถามสำคัญในยุคนี้จึงไม่ใช่แค่ “เราจ่ายภาษีหรือไม่” แต่คือ “รัฐใช้ภาษีเหล่านั้นกลับคืนมาให้ประชาชนมากน้อยเพียงใด?”

Tax เตรียมสอบ GED by Englican
Tax เตรียมสอบ GED by Englican

✨ทดลองทำ E-Placement คลิก https://englican.in.th/online-test-ged/

✨ดูรายละเอียดคอร์ส คลิก! https://englican.in.th/featured_item/ged-course/

เชื่อมั่นในหลักสูตรระดับโลกและทีมอาจารย์ชั้นนำของ Englican International Thailand

สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

Facebook: Englican International

IG: @englican

error: Content is protected !!